หน้าแรก บันเทิง “แตงโม นิดา” ผันตัวขายของจนถูกมองว่าตกอับ เปิดใจเมื่อกลายเป็นคุณแม่ลูกหนึ่งแล้ว

“แตงโม นิดา” ผันตัวขายของจนถูกมองว่าตกอับ เปิดใจเมื่อกลายเป็นคุณแม่ลูกหนึ่งแล้ว

349
แชร์ข่าวนี้

ไม่ว่าขยับตัวทำอะไรก็กลายเป็นกระแสไปทุกเรื่อง สำหรับ แตงโม-นิดา พัชรวีระพงษ์ ที่ได้มาเยือนรายการ ต้มยำอมรินทร์ ผลิตโดย CHANGE2561 เจ้าตัวก็ได้เล่าเรื่องเคลียร์ตัวเองแบบหมดเปลือกพร้อมยืนยันว่าไม่ได้ตกอับ ที่ออกไปเป็นแม่ค้าขายเสื้อผ้าเพราะคิดไว้นานแล้วว่าอยากที่จะทำและยืนยันว่าจะลุยต่อทางออนไลน์

พร้อมยังอัพเดทอาการโรคซึมเศร้าที่ต้องเผชิญมาร่วมปีว่าตอนนี้หายดีเกือบเป็นปกติแล้วเพราะได้กำลังใจดีๆจากคนรอบข้างไม่ว่าจะเป็นทั้งจากลูกสาว และแฟนหนุ่ม ที่คอยอยู่ข้างเคียงตัวเองตลอดเวลา และตอนนี้เข้าใจและสัมผัสได้แล้วว่าความรักที่แท้จริงเป็นอย่างไร แย้มยังไม่คิดถึงเรื่องแต่งงาน

รู้สึกยังไงบ้างที่ทำอะไรก็เป็นข่าวไปหมดแล้วก็เป็นข่าวแรงๆด้วย ?
“ใช่ค่ะ จั่วหัวข่าวคือแรงๆด้วยทั้งนั้น แล้วเรื่องที่เราไปเปิดท้ายขายของเราก็ไม่คิดว่าเราจะโดน มีความรู้สึกว่าเป็นตัวอย่างหนึ่งที่คนจะมาสนใจแล้วนำแบบที่เราทำไปทำตามก็ได้ เพราะเราไม่ได้มองในแง่ลบว่าเราโดนอีกแล้ว เพราะเราอยู่มาจนตอนนี้แล้วเราก็ต้องมีภูมิต้านทานแล้ว เพราะที่เราออกมาทำแบบนี้เราอยากให้รู้ว่าไม่ว่าอาชีพอะไรเราสามารถออกมาทำออกมาขายของมือสองที่เรามีอยู่ เราขายของแบบนี้เป็นเรื่องปกติ และเราก็ออกมาขายของเพื่อเป็นแบบอย่างที่อยากบอกใครที่มีของเยอะก็อย่าห่วงของเกินนะ เพราะถ้าเก็บไว้มันจะเสียของไปเปล่าๆแต่ว่าขายดีมากเลยนะคะ ขนาดที่เราขายแบบไม่แพงนะคะ เพราะเราทั้งขายทั้งแถม ขายอยู่สี่วันคือ ได้มาหลักแสนนะคะ”

ที่ แตงโม เริ่มต้นออกมาขายคือ เราคิดเอง หรือว่ามีคนมากระซิบบอก หรือว่ามีอะไรมาจุดประกาย ?
“สิ่งนี้คือ โมคิดมา 5 ปีแล้วค่ะ เพราะว่าของที่ไม่ได้ใส่แล้ว หรือว่าใส่ไม่ได้แล้วเราก็เก็บไว้ในกระสอบ แล้วคือ ของมันเยอะมากแล้วก็วางไว้แบบไม่ได้ใช้นานมากแล้วเป็น 10 กระสอบเลย แล้วเราก็มีความรู้สึกว่าทิ้งไปมันก็ไร้ประโยชน์แบบนี้เราส่งต่อดีกว่าเพราะว่าบางคนก็อยากได้เสื้อผ้าของเราก็มีนะ แล้วเราก็ขายในราคาที่ไม่แพงมาก”

พอไปขายคือ โมไปหลงใหลในการเป็นแม่ค้าเลยใช่ไหม ?
“ใช่ค่ะ แล้วมีคนแนะนำว่าทำไมโมไม่ขายทางออนไลน์ เพราะเรายังไม่รู้เรื่องระบบด้วย โมเลยขอไปลองลงตลาดดูก่อน เพราะเราจะได้พบได้คุยได้เจอกันกับแฟนๆแบบต่อหน้าต่อตา แล้วทีนี้หลายคนติดช่วงโควิดเขาไม่สามารถซื้อของเราได้ แต่เขาก็บอกว่าเขาอยากได้ของเรานะ อยากให้เราไลฟ์ขายของหน่อย ก็คิดว่าเร็วๆนี้จะทำแบบออนไลน์ขึ้นมาค่ะ”

วางแพลนคิดว่าจะมาเป็นแม่ค้าแบบนี้แล้ว ถ้าสมมติว่าเสื้อผ้าของเราขายหมดแล้วเราคิดว่าเราจะทำแบรนด์ของเราออกมาขายเองเลยไหม ?
“มีเคยคิดค่ะ ตอนนี้ก็ดูๆช่างมาตัดให้เหมือนกันแต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะออกมาเป็นรูปเป็นร่างยังไงเพราะว่าเพิ่งเริ่มเอง เพราะตอนนี้ยังพอมีเสื้อผ้าที่จะยังไลฟ์ก่อนคงเอาตรงนี้ไปก่อนค่ะ เดี๋ยวต่อไปถ้าทำแบรนด์คงเป็นขั้นตอนต่อไป”

โมอยากพูดอะไร ตอบอะไรกับคนที่เคยพูดว่าเรา ตกอับบ้าง หรือหลายๆคนที่คิดว่าอยากลุกขึ้นมาทำแต่กลัวคนมองว่า ตกอับ ?
“สิ่งนี้แหละที่สำคัญที่สุด คือการนำเสนอข่าวในบ้างครั้งบางทีต้องตรวจทานถ้อยคำว่ามันจะไปกระทบหัวใจของคนที่เขาอยากจะลุกขึ้นไปต่อสู้ไหม ถ้าเกิดบ้างคนที่เขากำลังแย่จริงๆอย่างนี้ แล้วเขาเจอคำพูดแบบนี้ การเป็นแม่ค้าคือ การตกอับ ก็แปลว่าแม่ค้าทั้งประเทศจะกลายเป็นว่าฉันถูกบูลลี่หรือเปล่าอาชีพฉันไม่เป็นที่ยอมรับเหรอ ฉันเป็นคนตกอับหรือเปล่า เขาจะไม่เห็นคุณค่าของตัวเองแล้วเขาจะไม่มีความสุขตรงนี้สำคัญมากๆเพราะสถานการณ์บ้านเมืองที่เป็นอยู่แบบนี้ ตรงนี้เราต้องเต็มเติมใจให้กัน”

แตงโม นิดา ติดใจกับการเป็นแม่ค้าแล้ว

ทุกคนมีคุณค่าเมื่อทำงานแล้ว แตงโมก็ลุกขึ้นมาทำงาน แต่เวลาว่างของเธอขาเขียวไปหมดเพราะไปเล่น เซิร์ฟสเก็ต เพราะต้องการลดน้ำหนักด้วยไหม ?
“จริงๆก็ตั้งลดน้ำหนักด้วยค่ะ เพราะเมื่อก่อนหนักอยู่ 48 – 49 แล้วเราก็กระโดดไป 54 – 55 ได้เพราะว่าช่วงโควิดแรกๆคือเรา นอนกับกิน อย่างเดียวเลย แล้วกำลังกายคือ ไม่เคยออกทั้งชีวิตคือ ไม่เคยออกกำลังกายเลย แล้วคุณเบิร์ด เขาก็บอกเราว่าเธอจะอยู่แบบนี้ไม่ได้ร่างกายจะไม่แข็งแรงเลย เธอต้องอออกมาออกกำลังกายโรคภัยถึงจะหายแล้วร่างกายของเราก็ดีขึ้นจริงๆแล้วเราก็ควบคุมการกินของเราไปด้วยจากการเล่นเซิร์ฟสเก็ตนี่เลยค่ะ”

ต้องถามในเรื่องของลูกที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าลูกมาจากไหน ?
“คือไม่ได้ท้องนะคะ แต่ลูกจะมีความหน้าคล้ายโมอยู่บ้าง แต่จริงๆแล้วแม่ของน้องก็คือ เพื่อนของโมตั้งแต่เด็กๆเลย คบกันมาถึงตอนนี้ก็เข้าเลขสามแล้วก็ยังคบกันอยู่ แล้วเขาก็เป็นผู้จัดการส่วนตัวของโมด้วยค่ะ แล้วคือเพื่อนของโมเขาก็ได้เลิกกับคุณพ่อของน้องเขาไป เราสองคนเลยตั้งใจที่จะเลี้ยงเขา ช่วยกันเลี้ยงเขามาค่ะ เหมือนเราเป็นคุณพ่อเขาอีกคน เพราะว่าเราไม่ได้ให้นมเขาไงคะ (หัวเราะ) และเราก็ตั้งใจว่าเราจะสอนเขาให้เหมือนที่คุณพ่อของเราเคยสอนเราไว้บางส่วนนะคะ เช่น การศึกษาต้องสนับสนุนเต็มที่ กีฬาต้องสนับสนุนเต็มที่ แล้วลูกคิดอะไรยังไงต้องให้อิสระกับเขาอย่างเต็มที่ และเคารพในการตัดสินใจของลูก เรื่องการออมเงินสำคัญมาก”

“หลายๆเรื่องที่พ่อพยายามปลูกฝังมาให้โม เราก็พยายามที่จะถ่ายทอดให้เขามากที่สุด เพราะโมรู้สึกว่าที่พ่อเลี้ยงโมมาถึงทุกวันนี้ เห็นไหมคะว่าไม่ว่าโมจะเจออะไร จะผ่านมันมาได้หมดเลย เพราะฉะนั้นลูกต้องเข้มแข็งกว่าโมอีก เพราะว่าโลกในอนาคตมันจะน่ากลัวกว่านี้อีก”

ตอนนี้ลูกกี่ขวบแล้ว แล้วเป็นยังไงบ้างที่เราต้องเลี้ยงเด็ก ?
“ตอนนี้ 4 ขวบแล้วค่ะ แต่ช่วงคลอดคือ หนักเลยเพราะว่าเด็กเล็กเขาจะไม่ค่อยนอนเพราะว่า 2-3 ชั่วโมงเขาจะตื่นมากินนมแล้วคุณแม่ของเขาก็คือ ตื่นมาให้นม แล้วเราคือคนที่กล่อมให้เขานอน ในเรื่องหลักๆแล้วโม อยากให้เขามีสายสัมพันธ์กับคุณแม่ของเขาให้แบบแนบแน่นเหมือนที่โมกับคุณพ่อมีให้กัน คือเราทำอะไรก็จะเป็นเพื่อนกัน โมก็จะคอยซัพพอร์ตเรื่องการเงินทุกอย่างของเขา”

“แต่ตอนนี้ก็แอบมีความกังวลนิดๆในช่วงโควิดกับเรื่องค่าใช้จ่ายเพราะว่าเราต้องการที่จะให้เขาเรียนโรงเรียนนานาชาติ เพราะว่าเรามองไว้ว่าเพื่อในอนาคตที่เขาอาจจะมีชื่อเสียงอะไรขึ้นมาภาษาคือสิ่งที่สำคัญ แต่เราจะส่งเขาไปเมืองนอกคงไม่ไหว แต่เรายังไม่ได้ตัดสินใจเลย ณ ตอนนี้นะคะ ว่าเราจะเข้านานาชาติแล้วเพราะว่าเราไม่รู้เลยว่าระบบโรงเรียนจะเรียนผ่าน Zoom ไปนานแค่ไหน”

มีลูกแล้วทำให้ชีวิตของโมเปลี่ยนไปเยอะไหม ?
“ทำให้ชีวิตของเรามีคุณค่ามากขึ้นค่ะ เพราะเรารู้เลยว่าเราต้องเลี้ยงเด็กคนนี้ไปจนตาย เพราะฉะนั้นเราจะเป็นอะไรไปไม่ได้เลย แล้วอีกอย่างคือลูกเขาก็ช่วยโมมากๆในมุมอาการซึมเศร้าของเรา เพราะว่าเวลาที่เราเลี้ยงเขาคือเราจะอ่อนแอไม่ได้ ถ้าเรารู้สึกอ่อนแอเราจะแยกตัวออกห่างจากเขาเลย และเวลาที่เราอยู่กับเขาเราจะทำตัวให้อายุเท่าๆกับเขาเพื่อให้เขาไว้ใจเรามากที่สุด”

แตงโม นิดา – น้องอีสเตอร์ ที่รักเหมือนลูกสาวแท้ๆ

อัปเดตนิดได้ไหมเรื่องอาการซึมเศร้าของเราตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ?
“ตอนนี้ 90 เปอร์เซ็นต์แล้วนะคะ เพราะเมื่อก่อนบอกได้เลยว่าชีวิตปกติของโมมีแค่ 30 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือคือ นอนจมอยู่กับที่เตียงข้างตู้เย็น ไม่ทานข้าว ไม่อาบน้ำ ไม่ขยับตัวแบบเราจะฆ่าตัวตายได้เลย เราเป็นแบบนั้นเป็นปีเลยนะคะ แล้วคือเพื่อนๆก็ต้องสลับวันกันมาดูว่าเรายังอยู่ไหม ซึ่งเราก็ยอมรับคนแรกๆของวงการเลยว่าเราเป็นโรคซึมเศร้าเพราะว่าอาการนี้มันเป็นมาตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งอาการนี้อยู่ภายใต้การดูแลควบคุมของหมอนะคะ คือมีทั้งกินยาและจิตแพทย์บำบัดส่วนตัวก็มีค่ะ”

“แต่ที่มีชีวิตปกติแค่ 30 เปอร์เซ็นต์ เพราะช่วงนั้นคือเลิกกับแฟนคนก่อน แล้วก็คุณพ่อป่วยมากแล้วเราก็จิตนาการไม่ออกว่า โมกับพ่อจะจากกันได้ยังไง จะตายจากกันตอนไหนไม่เคยคิด เพราะด้วยความที่คุณพ่อเขาเป็นคนที่อายุมากก็จริงแต่เขาเป็นคนที่แต่งตัว เราก็จะมองว่าเขาไม่แก่แข็งแรงตลอด ซึ่งจริงๆแล้วเขาบอกว่าข้างในเขาไม่ค่อยเหมือนเดิมแล้วนะ เพราะคุณพ่อก็ 71 แล้ว และเราก็ไม่ทันตั้งตัวเลย มะเร็ง ปอดรั่วแบบเรารับไม่ได้เลย เราไม่สามารถร้องไห้ให้พ่อเห็นได้เลย”

แล้วอะไรที่ทำให้โมตอนนี้อาการคือดีขึ้นมาถึง 90 เปอร์เซ็นต์ เกิดจากอะไรวิธีคิด หรือยา หรืออะไร ?
“ทุกอย่างเลยค่ะ เพราะว่าเราต้องรักษาสารเคมีในสมองของโม ที่ดีขึ้นเพราะเป็นความรักของคนรอบตัว กับ ความรักจากพระเจ้า พอเราเข้าใกล้ศาสนามากขึ้นความทุกข์จะเบาลงไม่ว่าศาสนาอะไรก็ตาม แต่สำหรับศาสนาคริสต์คือไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด เราก็ไม่ต้องไปห่วงอะไรคุณพ่อเพราะคุณพ่อไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์แล้ว ทำให้เราไม่ร้องไห้ขอพ่อคืน แต่ทุกวันนี้อะไรที่เป็นของคุณพ่อก็ต้องวางอยู่แบบเดิมห้ามย้าย แล้วก็ลูกคือส่วนสำคัญที่ทำให้โมหายดี”

“แล้วก็ คุณเบิร์ด คือหนึ่งแรงสำคัญที่ทำให้โมหายดี นอกจากนั้นคือ เพื่อนๆ ผู้จัดการ แม่บ้าน คือคนข้างๆตัวโม คือดีหมดเลย ตรงนี้โมว่าคือส่วนสำคัญมาก เพราะคนรอบตัวต้องพยายามศึกษาว่าถ้าอยู่กับคนที่ป่วยโรคนี้ต้องทำตัวยังไงบ้าง คือคำว่า สู้ๆตัดทิ้งไปเลยนะคะ เพราะว่ามันสู้ไม่ได้ เพราะถ้าสู้ได้เราจะไม่มานอนไม่มาเป็นอยู่แบบนี้หรอก เพราะคนที่ฟังเขาจะรู้สึกว่าไม่เข้าใจโรคที่เขาเป็นอยู่หรอก เพราะสู้ไม่ไหวจริงๆเพราะมันเป็นเรื่องสารเคมีในสมองที่จะแบบมันสั่งให้เราไม่ทำอะไรเลย แต่ให้ใช้คำว่า อดทน นะ”

แตงโม ควงแขนแฟนหนุ่ม ขายของที่ตลาดนัด

แล้ว คุณเบิร์ด มาช่วยเยียวยาอะไรให้ โม บ้าง ?
“เราดูที่เจตนาของเขาค่ะ ที่เขามารักษาดูแลเรา”

ไปเจอกันยัง ?
“เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ไปเดินเจอกันที่ห้างห้างหนึ่งที่ยาวที่สุดในประเทศ แล้วเขาก็ช่วยรุ่นพี่ขายของอยู่ เขาก็เห็นเราตอนลงบันไดมา แล้วเราก็เห็นสายคนคนหนึ่ง เขาก็สเปกเรา จากที่เจอกันครั้งแรกก็มีการแลกไลน์กัน แต่สมัยนั้นเราคงคิดไปเองว่าเราสวยมาก เป็นเทพธิดาเลยไม่ค่อยได้คุยกับเขาเท่าไหร่ พอเวลาผ่านๆไปจนโมแต่งงานแล้วก็เลิกกัน แล้วก็มีแฟนใหม่ แบบต่างคนต่างไปใช้ชีวิต จนล่าสุดที่โมโสด คือช่วงที่โมเป็นโรคซึมเศร้าหนักๆ คืออยู่ดีๆก็มีไลน์เด้งขึ้นมา แล้วก็มีข้อความว่า กราบสวัสดี จำเราได้ไหม เราก็ใคร เขาก็บอกว่า เบิร์ด เราก็จำได้ว่าเป็นเขา เพราะว่าในชีวิตของเราไม่มีเพื่อนชื่อเบิร์ดเลย เขาก็ถามไถ่อัปเดต เราก็ได้คุยกัน”

“หลังจากนั้นเขาก็เริ่มมาดูแลเราด้วยการเอาน้ำเต้าหู้มาแขวนไว้ที่บ้านแล้วก็ไป มาแขวนไว้อย่างเดียวจริงๆโดยที่ไม่หวังอะไรเลยเพราะตอนนั้นคือสภาพเราบอกได้เลยว่าใครสามารถทำอะไรกับเราก็ได้ เพราะว่าเราชีวิตของเราปกติน้อยมาก แต่เขาก็พาเราออกไปเจอไปเห็นกับสิ่งอะไรที่ไม่เคยเห็น เขาพยายามพาเราออกไปจากที่เดิมๆไม่ให้เรานอนจมอยู่กับที่เราก็ค่อยๆดีขึ้น แล้วจากการดูแลของเขามันไม่ใช่ความโรแมนติกอย่างเดียว เขายังให้ความอบอุ่น เหมือนพ่อดูแลลูกเลย”

“แล้วก็ตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ ยังไม่เคยทะเลาะกันสักครั้งเดียว เขาเป็นคนแรกในชีวิตเลยที่ไม่ทะเลาะกัน มันเลยมีความรู้สึกว่าเราไม่มีขยะที่จะต้องเอามาเก็บไว้ในใจเลยการซึมเศร้ามันก็เลยคลาย เพราะเรื่องพ่อเราเราทำใจได้แล้ว เรื่องลูกเราก็วางแผนให้เขาไว้แล้ว เราตัวเราเอาไว้ทีหลังก่อนก็ทำงานทำอะไรไป แต่พอเรื่องความรักถ้าเราได้แฟนดีคือ ทุกอย่างจบเลยนะคะ แต่ในอนาคตเราก็ไม่รู้ได้นะคะใครจะเปลี่ยนแปลงหรืออะไรไปยังไง แต่คิดว่าถ้าพื้นฐานมันเริ่มมาดีเวลาที่เราพูดคุยดี”

พูดคุยกันเรื่องแต่งงานหรือยัง ?
“อันนี้คือไม่อยาก ให้คิดตามนะคะ คือต้องยอมรับว่าเราอยู่ด้วยกันก่อนแต่งไปแล้ว เราคิดว่าเราลองทดลองอยู่ก่อนแต่งกันไปก่อนเราก็อยู่กันมาได้ 1 ปีก็เลยนะคะ เรื่องการแต่งงานไม่ได้จำเป็นสำหรับโมเท่านั้น เพราะนอกจากเราจะเอาเงินไปทิ้งแล้วก็ไม่มีใครสามารถมาร่วมงานเราได้หรอก แต่ถ้ามันจำเป็นต้องจัดต้องแต่งด้วยความประสงค์ของผู้ใหญ่อะไรก็ตาม ก็คงจัดเพื่อให้รู้นิดนึงไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก แล้วเขาก็เอ็นดูมากกับลูกเรา แต่ถึงเรามีสัญชาตญาณในความเป็นแม่ก็จริงแต่เพราะว่าเราให้อีสเตอร์ไปหมดใจแล้วเรากลัวว่าเราจะไม่สามารถให้ลูกเท่าเขา แล้วอีกอย่างคือโมกลัวหุ่นเจ๊งเพราะรู้ตัวเองจริงๆว่าเป็นคนไม่มีระเบียบวินัย”

ขอขอบคุณ
แหล่งที่มา : sanook


แชร์ข่าวนี้