หน้าแรก เศรษฐกิจ คาด “โคโรน่า” หนุนราคาทองพุ่ง เปิดสถิติเทียบ “ซาร์ส” ดันบวกกว่า 6%

คาด “โคโรน่า” หนุนราคาทองพุ่ง เปิดสถิติเทียบ “ซาร์ส” ดันบวกกว่า 6%

402
แชร์ข่าวนี้

“วายแอลจี” คาดสถานการณ์ไวรัสอู่ฮั่นระบาด ส่งผลนักลงทุนวิตก แม้ยอมรับทางการจีนตอบสนองสถานการณ์ได้รวดเร็ว แต่นักลงทุนยังต้องการความชัดเจนการควบคุมการระบาด พร้อมเปิดสถิติราคาทองคำช่วงซาร์สระบาดในปี 2546 พบราคาทองคำเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6.48% ช่วงพีคสุดพุ่งแรง 21.94% แนะนักลงทุนเน้นเข้าซื้อทำกำไรระยะสั้น

เมื่อวันที่ 4 ก.พ.63 นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) ผู้นำเข้าและส่งออกทองคำแท่งรายใหญ่ของไทย เปิดเผยว่า แม้ว่ารัฐบาลจีนจะตอบสนองและดำเนินการอย่างรวดเร็ว เพื่อสกัดการระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (ไวรัสอู่ฮั่น) อย่างไรก็ดีนักลงทุนยังวิตกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคจะมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ดังนั้นตราบใดที่ยังไม่มีความชัดเจนว่า การระบาดของไวรัสอู่ฮั่นสามารถควบคุมได้แล้ว ราคาทองคำก็มีแนวโน้มได้รับแรงหนุนต่อไป แม้ว่าการระบาดของโรคจะกระทบต่อความต้องการบริโภคทองคำของจีนอยู่บ้างก็ตาม

ทั้งนี้หากเปรียบเทียบจากข้อมูลช่วงที่เกิดโรคระบาดในอดีตพบว่า เมื่อปี 2546 ได้เคยเกิดการระบาดของโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง หรือซาร์ โดยจุดเริ่มต้นของการพบผู้ป่วยซาร์เกิดขึ้นครั้งแรกในเดือน พ.ย.ของปี 2545 ที่มณฑลกวางตุ้งของจีน ก่อนที่ในเดือน ก.พ.ปี 2546 การระบาดของซาร์สจะแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว จากจีนไปสู่ฮ่องกงและระบาดต่อเนื่องไปยังอีก 30 ประเทศทั่วโลก จนกระทั่งองค์กรอนามัยโลก (WHO) จะประกาศสิ้นสุดการระบาดของซาร์สในเดือน ก.ค.ปีเดียวกัน ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากซาร์มากถึง 774 คนทั่วโลก จากจำนวนผู้ป่วย 8,098 คน หรือคิดเป็นอัตราการเสียชีวิตที่ 9.56%

จากการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในช่วงเวลาดังกล่าว ทำให้สามารถประเมินว่า ผลกระทบของการระบาดของโรคต่อทองคำนั้น สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในทางบวกและทางลบ ในทางบวกนั้นมาจากแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย อันเนื่องมาจากความวิตกว่าการระบาดของโรค จะกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั่วโลก ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นในช่วงตั้งแต่เดือน ธ.ค.2545-เม.ย.2546 ที่เกิดความวิตกเกี่ยวกับซาร์สสูงที่สุด ในครั้งนั้น ราคาทองคำทะยานขึ้นจาก 318.6 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงต้นเดือน ธ.ค.ปี 2545 สู่ระดับ 339.25 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงสิ้นเดือน เม.ย. ปี 2546 หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 6.48% โดยมีการขึ้นไปแตะระดับสูงสุดภายในช่วงเวลาดังกล่าวที่ 388.5 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในเดือน ก.พ.2546 หรือปรับตัวสูงขึ้นมากสุดถึง 21.94%

ส่วนผลกระทบในทางลบนั้น จะเกิดขึ้นต่อปริมาณความต้องการบริโภคทองคำของจีน เนื่องจากจีนเป็นผู้บริโภคทองคำอันดับหนึ่งของโลก และหากย้อนกลับไปดูในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2546 ที่เกิดการระบาดของซาร์ส จะเห็นได้ชัดว่าตัวเลขปริมาณความต้องการบริโภคทองคำของจีนในช่วงเวลาดังกล่าว ลดลงเกือบ 1 ใน 3 จากไตรมาสก่อนหน้าจากระดับ 63.2 ตันในช่วงไตรมาส 1 สู่ระดับ 44.6 ตันในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2546 ก่อนที่ปริมาณความต้องการบริโภคทองคำของจีนจะฟื้นตัวขึ้นในช่วงไตรมาส 3 สู่ระดับ 58.6 ตัน ซึ่งเป็นช่วงหลังจากสิ้นสุดการระบาดของซาร์ส

นับจากไวรัสซาร์สในปี 2546 สู่ไวรัสโคโรน่าสายพันธ์ใหม่ในครั้งนี้ ได้สร้างความวิตกให้กับนักลงทุน และหนุนแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยเป็นวงกว้างซึ่งรวมถึงทองคำ เนื่องจากเชื้อไวรัสดังกล่าวแพร่ระบาดไปยังประเทศต่างๆทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ขณะที่ล่าสุดเมื่อวันที่ 30 ม.ค. องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศว่า การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็น “ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขของโลก” ดังนั้นนักลงทุนยังคงเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด แม้ว่าข้อมูลทางสถิติบ่งชี้ว่า ยอดผู้เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธ์ใหม่ คิดเป็นเพียง 2.2% จากยอดผู้ติดเชื้อเท่านั้น ต่ำกว่าช่วงเกิดโรคซาร์สในปี 2546 ซึ่งพบยอดผู้เสียชีวิตมากถึง 9.56% จากยอดผู้ติดเชื้อ แต่ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าที่พุ่งทะลุแซงหน้าซาร์สเมื่อ 17 ปีก่อน ได้สร้างความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจจีนและทั่วโลก ทั้งนี้ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยในออสเตรเลียคาดการณ์ว่า มูลค่าความเสียหายจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ อาจมากกว่าเม็ดเงินที่สูญเสียไปในช่วงการระบาดของซาร์ส มากถึง 3-4 เท่า ซึ่งส่งผลเชิงบวกต่อราคาทองคำ และมีแนวโน้มหนุนราคาทองคำได้ต่อเนื่อง ตราบใดที่ยังไม่มีการประกาศว่าสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาได้

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ แนะนำหาจังหวะเข้าซื้อหากราคาย่อตัวลงมาและไม่หลุดแนวรับ 1,560 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 23,000 บาทต่อบาททองคำ โดยควรตั้งจุดตัดขาดทุนหากราคาหลุดแนวรับแรกในทันที เพื่อรอซื้อใหม่บริเวณแนวรับถัดไปโซน 1,536 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 22,600 บาทต่อบาททองคำ สำหรับนักลงทุนที่มีทองคำในมือ แนะนำให้แบ่งขายทำกำไรหากราคาดีดตัวขึ้นหรือบริเวณแนวต้าน 1,589-1,598 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 23,400-23,550 บาทต่อบาททองคำ แต่หากราคาผ่านได้สามารถถือต่อเพราะแนวโน้มราคาทองคำจะเป็นบวกมากขึ้น และแนะนำติดตามข่าวสารการระบาดของโรคอย่างใกล้ชิด


แชร์ข่าวนี้