นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สภาหอการค้าฯ ได้ทำหนังสือถึงนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เพื่อขอขยายเวลาการบังคับใช้ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ที่กำหนดให้พาราควอตและคลอร์ไพริฟอส เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ออกไปเป็นบังคับใช้วันที่ 31 ธ.ค.นี้ จากเดิมมีผลบังคับใช้วันที่ 1 มิ.ย. เพราะรายละเอียดต่างๆไม่ชัดเจนมากนัก และผู้ประกอบการและเกษตรกรยังไม่มีความพร้อม ส่วนหนึ่งมาจากผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบจากโควิด-19
นายกลินท์ กล่าวว่า มีข่าวว่าวันที่ 30 เม.ย.นี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตราย ซึ่งหากไม่ได้รับการพิจารณาขยายเวลาการบังคับใช้ อาจส่งผลกระทบต่อการนำสินค้าเข้าจากต่างประเทศ ที่ต้องมีค่ากำหนดสารตกค้างจากสารเคมีดังกล่าวเป็นศูนย์ ทำให้ขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิต เกิดวิกฤติขาดแคลนอาหารทั้งในประเทศ และเพื่อการส่งออก ที่ผ่านมารัฐบาลบอกว่าเอกชนต้องการให้รัฐช่วยอะไรบ้าง ตนก็ได้พูดคุยกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายสมคิดรับปากที่จะไปหารือกับ รมว.อุตสาหกรรม เพราะหากเดินหน้าตามมติเดิม ก็จะห้ามนำเข้าสารดังกล่าว และเอกชนก็ต้องยกเลิกการนำเข้าทันที ส่งผลกระทบในวงกว้าง เพราะสารดังกล่าวใช้ในการเพาะปลูกพืชที่เป็นวัตถุดิบ สำหรับการแปรรูปทั้งอาหารคนและอาหารสัตว์ เช่น ถั่วเหลือง ข้าวสาลี แป้งข้าวสาลี กาแฟ โกโก้
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการวัตถุอันตราย กล่าวว่า วันที่ 30 เม.ย.นี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตราย เนื่องจากมีวาระที่ต้องพิจารณา เช่น กฎหมายลูกของแต่ละหน่วยงาน ขณะที่ความคืบหน้าการประกาศวัตถุอันตราย 2 สารเคมีทางการเกษตร คือ พาราควอตและคลอร์ไพริฟอส ตามมติที่ประชุมเดิม ให้เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 (ห้ามใช้-ห้ามครอบครอง) ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.นี้ โดยทราบว่า เลขาคณะกรรมการฯได้ทำหนังสือสอบถามความคืบหน้าไปยังกรมวิชาการเกษตร ซึ่งเป็นผู้ดูแลการใช้สารดังกล่าว ถึงมาตรการรองรับการลดผลกระทบเกษตรกร แต่กรมวิชาการเกษตรยังไม่ส่งเรื่องกลับมา ส่วนกรณีที่สภาหอการค้าฯขอขยายเวลาการแบน 2 สารออกไปถึงสิ้นปีนี้ เนื่องจากมองว่า ผู้ประกอบการและเกษตรกรก็ยังไม่มีความพร้อม ส่วนหนึ่งมาจากผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ประเด็นนี้จะนำมาหารือในที่ประชุมว่าคณะกรรมการมีความเห็นอย่างไร
ขอขอบคุณ
แหล่งที่มา : ไทยรัฐออนไลน์
