นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ซึ่งเป็นประธานการกลั่นกรองโครงการและกิจกรรมตามข้อเสนอของทุกหน่วยงานเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมวงเงิน 400,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นวงเงินที่กันเอาไว้ภายใต้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ร่วมกับสำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาโครงการที่เหมาะสม โดยจะเน้นโครงการที่สามารถทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้เร็วเป็นหลัก
“เงินกู้ 400,000 ล้านบาท จาก พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาทนี้จะนำไปฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งคณะกรรมการกลั่นกรองจะพิจารณาว่าโครงการที่เสนอมานั้นดีมากน้อยแค่ไหน เกิดการหมุนเวียนในเศรษฐกิจท้องถิ่นหรือไม่ และสร้างงาน สร้างรายได้ได้เร็วก็จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ โดย สศช.จะกลั่นกรองก่อนรวบรวมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ จะเริ่มโครงการเดือน มิ.ย.นี้”
นายสมคิดกล่าวว่า เศรษฐกิจไทยจากนี้อาจไม่ฟื้นตัวเร็วอย่างคาด แต่จะเติบโตแบบวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) ช่วงนี้รัฐบาลหวังว่าการออกมาตรการดูแลประชาชนต้องเน้นไปที่การทำให้คนไทยมีพอกิน มีงานทำ และมีรายได้ โดยอยากให้การระบาดของไวรัสโควิด-19 จบลงโดยเร็ว จะได้มีเงินจากมาตรการของรัฐไปหมุนเศรษฐกิจ ซึ่งภาคส่งออกและท่องเที่ยวได้รับผลกระทบมากสุด ต้องช่วยเหลือกลุ่มนี้โดยเร็ว โดยเฉพาะกลุ่มโรงแรมและสายการบิน
ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบหนักได้หารือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) แล้ว และได้ขอให้จัดทำรายละเอียดมาว่ากลุ่มอุตสาหกรรมใดได้รับผลกระทบหนักที่สุด ต้องช่วยเหลือเป็นรายอุตสาหกรรม ไม่ใช่ช่วยเหมือนกันทุกอุตสาหกรรม โดยเฉพาะข้อเสนอของ ส.อ.ท.ที่ขอให้รัฐบาลชดเชยเงินเดือนให้แก่ลูกจ้าง ที่ยังไม่ถูกเลิกจ้าง แต่ถูกลดชั่วโมงการทำงานและลดเงินเดือน โดยเสนอให้รัฐบาลจ่ายเงินเดือนให้ 50% ของเงินเดือนไม่เกิน 15,000 บาท หรือ 7,500 บาทนั้น รัฐบาลต้องพิจารณาเป็นกรณี “ตอนนี้หนักกว่าวิกฤติเศรษฐกิจปี 40 ตอนนั้นเป็นเรื่องการเงิน แต่ตอนนี้มีเรื่องสังคมด้วย ถ้าไม่มีมาตรการออกมาเร็วคงได้เห็นอะไรแปลกๆ วันนี้ตลาดเงินนิ่ง ธุรกิจมีปัญหาก็ต้องช่วย และถ้าผลกระทบเกิดกับเศรษฐกิจจริงขึ้นมา จะลามไปถึงการเงินด้วย”
ขอขอบคุณ
cr. ไทยรัฐออนไลน์
