หน้าแรก การเมือง พิชัย แนะ บิ๊กตู่ เลิกโกหกตัวเอง เวลาของคุณหมดแล้ว คนจะขับไล่มากขึ้น

พิชัย แนะ บิ๊กตู่ เลิกโกหกตัวเอง เวลาของคุณหมดแล้ว คนจะขับไล่มากขึ้น

666
แชร์ข่าวนี้

“พิชัย” ชี้ “บิ๊กตู่” ปรับ ครม. ทำสับสน 4 ข้อ ติง แก้ปัญหาส่วนตัว มากกว่า ช่วยประเทศชาติ แนะ เลิกโกหกตัวเอง เพราะคนจะออกมาไล่มากขึ้น

วันนี้ (10 ส.ค.) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน กล่าวว่า ตามที่ได้มีการปรับ ครม. แต่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมาก กังวลกันว่าจะไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้กับประชาชนได้ จนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว.กลาโหม และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ต้องออกมาร้องขอความเชื่อมั่น ดังนั้น จึงอยากให้พลเอกประยุทธ์ได้ทราบถึงความสับสนในวิธีคิดในการปรับ ครม. ที่ทำให้ประชาชนไม่เชื่อมั่น 4 ข้อดังนี้

1.การตั้งนายดอน ปรมัติถ์วินัย เป็นรองนายกฯ เพิ่มขึ้นอีกตำแหน่ง โดยอ้างว่าจะให้มาช่วยเศรษฐกิจและติดต่อต่างประเทศ ซึ่งความจริงตลอด 6 ปี นายดอนไม่ได้เคยแสดงถึงวิสัยทัศน์ทางด้านนี้เลย แถมยังมีเรื่องอื้อฉาวที่ภรรยาถือหุ้นและตัวเองก็ยอมรับ แต่กลับหลุดคดีได้อย่างน่าอัศจรรย์ ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในประชาคมโลกย่ำแย่มาตลอด

สื่อหลักต่างประเทศยังคงโจมตีไทยไม่หยุด แม้กระทั่งหลังเลือกตั้งแล้วก็ยิ่งโดนโจมตีหนัก โดยนายดอนไม่เคยแก้ไขได้เลย อีกทั้งกระทรวงต่างประเทศภายใด้กำกับของนายดอนไม่เคยทำให้การลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นได้เลย

แถมยังมีเรื่องอื้อฉาวการประมูลอี-พาสปอร์ตที่มีข้อสงสัยกันว่าผู้ชนะการประมูล มีสเป็กที่อาจจะไม่ตรงแต่ก็ช่วยกันให้ชนะการประมูล ซึ่งก่อนหน้านี้ กระแสสังคมยังเข้าใจว่าจะมีการปรับนายดอนออกจาก ครม. จากที่ไม่มีผลงานที่ประชาชนได้รับรู้ เหมือนกับประเทศไทยไม่มี รมว.ต่างประเทศ แต่กลับได้รับการเลื่อนขั้น

2. การแต่งตั้ง รมว.พลังงาน ให้ควบรองนายกฯ แต่ รมว.คลัง ไม่ควบรองนายกฯ ทั้งที่กระทรวงการคลังมีขอบข่ายครอบคลุมทุกกระทรวงทุกหน่วยงานและมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจมากกว่ากระทรวงพลังงานมาก ไม่แน่ใจและรู้สึกสับสนว่ามีหลักคิดอย่างไร

หรือนายปรีดี ไม่กล้าจะมาเป็นรองนายกฯ เพราะแค่ที่กระทรวงการคลัง านก็จะหนักอยู่แล้ว อีกทั้ง อาจจะเป็นเพราะพลเอกประยุทธ์ยังไม่เข้าใจกลไกทางเศรษฐกิจ การแต่งตั้งแบบนี้จะยิ่งทำให้ทำงานได้ยากและจะยิ่งเป็นปัญหา

3. การที่หัวหน้าพรรค พปชร.และเลขาธิการพรรค พปชร. ไม่ได้รับตำแหน่งสำคัญในรัฐบาล โดยพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นแค่รองนายกฯ เฉยๆ ไม่ได้ควบกระทรวงอะไร และ นายอนุชา นาคาศัย เลขาธิการพรรค เป็นแค่รมต.สำนักนายกฯ เท่ากับไม่ให้เกียรติพรรค พปชร. ที่เป็นพรรคใหญ่สุดที่ร่วมรัฐบาล

ในขณะที่พรรคใหญ่ที่ร่วมรัฐบาลพรรคอื่นๆ หัวหน้าพรรคและเลขาฯ ต่างก็มีตำแหน่งใหญ่โตกันหมด นอกจากนี้แกนนำที่ควรได้เลื่อนขึ้นกำกับดูแลกระทรวงใหญ่ขึ้นก็ถูกปฏิเสธ พรรค พปชร.จึงดูเป็นเหมือนพรรคที่ไร้ค่า ไม่มีราคาทางการเมืองเลย ซึ่งอาจจะส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลได้ ถึงขนาดมีการขู่กันว่าอาจจะเกิดอาฟเตอร์ช็อก

4. การแต่งตั้ง รมช.แรงงาน ทั้งที่ตำแหน่งนี้ไม่เคยมีมาตั้งแต่ปี 2545 หรือ 18 ปีที่แล้ว ทั้งนี้เพราะกระทรวงแรงานเป็นกระทรวงเล็ก การตั้งนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เป็นรมช.แรงงาน ทั้งที่เป็นทีมเศรษฐกิจของพรรค พปชร. ยิ่งตอกย้ำการไม่ให้ค่านางนฤมล และพรรค พปชร. เพิ่มขึ้น

อีกทั้ง ยังแสดงว่านายสุชาติ ชมกลิ่น รมว. แรงงาน อาจจะไม่มีความสามารถเพียงพอในการบริหารกระทรวงแรงงานนี้ได้คนเดียว หรืออาจจะเหมือนกับจำเป็นต้องแต่งตั้งแบบไม่เต็มใจ ซึ่งหากเห็นคุณค่านางนฤมลจริง น่าจะตั้งให้เป็น รมช.คลัง ที่มีความสำคัญมากกว่า และสามารถแต่งตั้ง รมช. คลัง ได้มากกว่า 1 คน ซึ่งในสภาวะเศรษฐกิจทรุดหนักนี้ จะสามารถมีบทบาทได้มากกว่า รมช. แรงงานนี้มาก

จาก 4 ข้อนี้ จะเห็นได้ว่า พลเอกประยุทธ์ ไม่ได้ปรับ ครม.เพื่อแก้ปัญหาของประเทศ แต่ปรับเพื่อแก้ปัญหาของตัวเองมากกว่า ภาพลักษณ์และชื่อชั้นของทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลหลังปรับ ครม. กลับยิ่งแย่หนักกว่าก่อนปรับ ครม.เสียอีก ทั้งที่ปัญหาเศรษฐกิจปัจจุบันหนักกว่ามาก ซึ่งจะทำให้ความลำบากของประชาชนเพิ่มขึ้นอีกเป็นทวีคูณ

ที่สำคัญที่สุดคือ พลเอกประยุทธ์ ยังยืนยันที่จะเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจเอง ทั้งที่ล้มเหลวมาตลอด ในปี 2562 ที่พลเอกประยุทธ์เริ่มเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ เศรษฐกิจไทยขยายได้เพียง 2.4% ในไตรมาสสุดท้าย ขยายได้ต่ำเตี้ยเพียง 1.9% ต่อเนื่องมา ปี 2563 นี้ เศรษฐกิจไทยจะติดลบหนักถึงกว่า -10% เลย และ

ถึงไม่มีไวรัสโควิด เศรษฐกิจไทยปีนี้ก็จะติดลบแต่อาจจะไม่มากเท่านี้ ซ้ำร้าย พลเอกประยุทธ์ยังกล้าประกาศว่าตั้งแต่เข้ามาเศรษฐกิจไทยดีขึ้นมาตลอดจนมาเจอโควิด ซึ่งยิ่งตอกย้ำความไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจและยังหลอกตัวเอง อีกทั้งตั้งใจจะหลอกประชาชนซึ่งคงไม่มีใครเชื่อแล้ว ทั้งนี้เพราะ 6 ปีตั้งแต่พลเอกประยุทธ์เข้ามาเศรษฐกิจไทยย่ำแย่มาตลอด

เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำที่สุด รายได้ประชาชนส่วนใหญ่ลดลง ไทยมีคนจนเพิ่มขึ้นหลายล้านคน ซึ่ง เวิลด์แบงค์ ไอเอ็มเอฟ และ เอดีบี ก็บอกตรงกัน และเป็นภาวะกบต้มชัดเจนตามที่ตนได้เคยเตือนแล้วแต่พลเอกประยุทธ์คงไม่มีความรู้ในเรื่องนี้เลย จึงได้ส่งคนมาดำเนินคดีกับตน

นอกจากนี้การที่พรรค พปชร. ขับไล่นายสมคิด และ 4 กุมาร จนต้องยกทีมลาออก ก็เพราะความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจ ซึ่งหากพลเอกประยุทธ์ไม่ยอมรับความจริง หรือ ขาดความรู้และขาดสำนึกที่จะรับทราบความจริง ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่พลเอกประยุทธ์จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้

ดังนั้น เรื่องแรกที่พลเอกประยุทธ์ต้องทำคือ ต้องเลิกหลอกตัวเอง แล้วยอมรับความจริง และ ศึกษาสาเหตุที่แท้จริงเพื่อจะสามารถแก้ปัญหาได้ และถ้าพบว่าปัญหาเกิดที่ตัวพลเอกประยุทธ์เอง พลเอกประยุทธ์ก็ต้องรู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร เวลาในการบริหารประเทศของพลเอกประยุทธ์น่าจะหมดแล้วใช่หรือไม่ หากยังดื้อรั้นจำนวนนักศึกษาและประชาชนที่จะออกมาขับไล่พลเอกประยุทธ์จะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนยากจะต้านทาน

cr. ข่าวสด


แชร์ข่าวนี้