หน้าแรก การเมือง ศาลระยองสั่งจำคุก 4 เดือน ไม่รอลงอาญา หนุ่มโรงงาน ทนไม่ได้ โปรยใบปลิวต้านเผด็จการ

ศาลระยองสั่งจำคุก 4 เดือน ไม่รอลงอาญา หนุ่มโรงงาน ทนไม่ได้ โปรยใบปลิวต้านเผด็จการ

540
แชร์ข่าวนี้

วันที่ 26 มี.ค. ไอลอว์ รายงานว่า ศาลจังหวัดระยอง นัดฟังคำพิพากษา คดียุยงปลุกปั่น ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ของพลวัฒน์ กรณีโปรยใบปลิวต่อต้าน คสช. 4 จุด ในจังหวัดระยองตั้งแต่ต้นปี 2558 แม้ว่า ก่อนหน้านี้คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมจะออกคำสั่งให้เลื่อนนัดพิจารณาคดี เพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด19 แต่คดีนี้ศาลใช้ดุลพินิจพิจารณาคดีต่อไปตามที่นัดไว้เดิม จำเลย ทนายความ และพ่อของจำเลยเดินทางมาฟังคำพิพากษา

สำหรับบรรยากาศที่ศาล เจ้าหน้าที่ตั้งจุดคัดกรองบุคคลที่มาติดต่อราชการอย่างเข้มงวดพร้อมทั้งติดตั้งอุปกรณ์ฉีดละอองน้ำฆ่าเชื้อที่ประตูทางเข้าอาคาร เบื้องต้นเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ แจ้งว่า จะให้ผู้มาสังเกตการณ์รอนอกห้องเพื่อป้องกันปัญหาไวรัส แต่ศาลอนุญาตให้อยู่ฟังคำพิพากษาได้
เมื่อศาลขึ้นบัลลังก์ก็แจ้งว่า ห้ามอัดเสียง และเริ่มอ่านคำพิพากษาจากส่วนสรุปข้อเท็จจริงในคดี คำพิพากษาโดยสรุป มีประเด็นสำคัญดังนี้

คดีนี้โจทก์มี พ.ต.ท.มานิตย์ บุญมาเลิศ ผู้กล่าวหา เบิกความว่า ผู้ใต้บังคับบัญชารายงานว่า มีผู้นำใบปลิวไปโปรย 4 แห่งในจังหวัดระยอง ทางสืบสวนสืบจากกล้องวงจรปิดและทางออนไลน์พบจำเลยเป็นผู้นำใบปลิวไปโปรย

ในชั้นจับกุมตัวจำเลยยอมรับว่า เป็นผู้นำใบปลิวไปโปรยจริง และเมื่อจับกุมตัวได้ในชั้นทหารจำเลยก็รับว่า เป็นผู้นำใบปลิวไปโปรยจริง พนักงานสอบสวนเห็นควรสั่งฟ้องตามประกาศ คสช. ฉบับที่ 97/2557, มาตรา 116 ฐานยุยงปลุกปั่น และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(3) เหตุที่เห็นควรสั่งฟ้องเนื่องจากขณะนั้นมีการประกาศใช้กฎอัยการศึก การแสดงออกสามารถทำได้ภายใต้กฎหมาย และตามช่องทางที่ คสช. อนุญาตเท่านั้น

สำหรับความผิดฐานยุยงปลุกปั่น ตามมาตรา 116 พิเคราะห์ข้อควานในใบปลิวที่เขียนว่า “ตื่นและลุกขึ้นสู้ได้แล้ว ผู้รักประชาธิปไตยทุกคน เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ” และมีสัญลักษณ์สามนิ้วเขียนว่า “เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ” ประกอบกับขณะนั้น คสช. เข้าควบคุมอำนาจอันเนื่องมาจากความขัดแย้งทางการเมืองรุนแรงในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกและประกาศคำสั่งของ คสช. หลายฉบับ มีการจำกัดสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองและเสรีภาพ สื่อมวลชน ประกาศและคำสั่งจำนวนมากที่ออกมาย่อมกระทบต่อสิทธิของคนหลายกลุ่ม ย่อมให้มีคนไม่พอใจ

ซึ่งรัฐธรรมนูญ 2550 ที่รับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชนสิ้นสุดลงจากการยึดอำนาจของ คสช. และมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วคราว 2557 ที่มีข้อจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน

ในช่วงเวลานั้นมีนิสิตนักศึกษาออกมาทำกิจกรรมต่อต้าน คสช. ซึ่งจำเลยก็ทราบว่า มีการเรียกร้องประชาธิปไตย รวมทั้งเพื่อนของจำเลย อันก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย จนเพื่อนของจำเลยต้องถูกเรียกไปปรับทัศนคติ ที่จำเลยกล่าวอ้างว่า มีการใช้ความรุนแรงกับกลุ่มนิสิตนักศึกษา เป็นเพียงการกล่าวอ้างลอยๆ โดยไม่มีหลักฐาน และขณะนั้น คสช. เข้ามาบริหารประเทศ ย่อมต้องมีการจัดระเบียบสังคม ต้องกระทำเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อย ไม่ให้มีการแข็งข้อ

การกระทำของจำเลยโดยการโปรยใบปลิวทั้ง 4 จุด เป็นการโปรยในที่สาธารณะจึงเป็นการทำให้ปรากฏแก่ประชาชน ข้อความในใบปลิวแสดงให้เห็นเจตนาเพื่อยุยงปลุกปั่นให้ลุกขึ้นสู้ ให้ต่อต้าน คสช. ที่เป็นรัฐบาลขณะนั้น เพื่อให้เกิดความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามฟ้องโจทก์

ที่จำเลยอ้างว่า เป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญนั้น การกระทำภายใต้ความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ หมายถึง การกระทำภายใต้กฎหมาย ไม่มุ่งหมายกล่าวเท็จ บิดเบือน แต่ข้อความตามใบปลิวมีลักษณะยุยงปลุกปั่น ไม่อยู่ในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญหรือการติชมโดยสุจริต ที่จำเลยอ้างว่า ข้อความดังกล่าวเคยใช้ในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาธรรมศาสตร์ด้วยนั้น จะต้องคำนึงถึงลักษณะการใช้ กาละเทศะ และผู้นำมาใช้ การใช้งานฟุตบอลประเพณี เป็นไปเพื่อแสดงความคิดเห็น อาจไม่เจตนาให้เกิดความปั่นป่วน

สำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จำเลยเบิกความว่า ไม่เคยโพสต์ และไม่เคยเห็นโพสต์บนเพจเฟซบุ๊กที่ชื่อ “ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาเพื่อประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย (ศนปท.)” แต่จำเลยตอบคำถามค้านของอัยการโจทก์ว่า เป็นผู้ส่งภาพดังกล่าวให้กับเพจ ศนปท. ซึ่งโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้โพสต์ภาพพร้อมข้อความลงบนเพจ

แต่ทางนำสืบของโจทก์มีเพียงการนำภาพถ่ายส่งให้เพจ ศนปท. เท่านั้น ซึ่งทางสืบสวนจำเลยใช้เฟซ บุ๊กเป็นชื่อนามสกุลของตัวเอง และแชร์โพสต์จากเพจของ ศนปท. แต่ในภาพที่โพสต์ตามฟ้องเป็นการโพสต์ที่เพจ ศนปท.

โจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่า จำเลยเป็นผู้ดูแล หรือรู้รหัสผ่าน หรือเกี่ยวข้องกับเพจ ศนปท. อันจะทำให้จำเลยสามารถนำภาพไปโพสต์และพิมพ์ข้อความใต้ภาพได้ แม้จำเลยจะยอมรับว่า ได้ส่งภาพเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ก็ไม่อาจรับฟังได้ว่า จำเลยโพสต์ภาพและพิมพ์ข้อความใต้ภาพในเพจ ศนปท. จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่า ข้อความดังกล่าวเป็นความผิดตาม มาตรา 14(2) (3) หรือไม่ พยานหลักฐานโจทก์ไม่สามารถรับฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ

สำหรับใบปลิวจำนวน 34 แผ่น และเครื่องปริ้นเตอร์ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการกระทำความผิด ให้ริบ
ความผิดตามฐานยุยงปลุกปั่น ตามมาตรา 116(2) ให้จำคุกหกเดือน คำให้การในชั้นพิจารณาของจำเลยเป็นประโยชน์ สมควรลดโทษให้ 1 ใน 3 ลงโทษจำคุก 4 เดือน ข้อหาอื่นให้ยก

หลังศาลมีคำพิพากษาพลวัฒน์ยื่นเงินสด 100,000 บาทประกันตัวระหว่างต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ ศาลอนุญาตและพลวัฒน์ได้รับการปล่อยตัวแล้ว

ทั้งนี้เหตุคดีนี้เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 21 มี.ค.58 โดยพลวัฒน์ ที่ขณะนั้นอายุ 22 ปี มีอาชีพเป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่งในนิคมอุตสาหกรรม จังหวัดระยอง จัดทำใบปลิวขึ้นเองและนำไปโปรยยังสถานที่สี่แห่ง คือ หน้าโรงเรียนอนุบาลระยอง ทางเข้าสวนศรีเมือง หน้าโรงเรียนระยองวิทยาคม และม้าหินอ่อนหน้าวิทยาลัยเทคนิคระยอง

หลังจากนั้นพลวัฒน์ถูกติดตามตัวจากกล้องวงจรปิดและถูกจับกุมได้เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2558 ขณะกำลังทำงานอยู่ที่บริษัท ในระหว่างการพิจารณาคดีที่ผ่านมา พลวัฒน์ได้ประกันตัว

เบื้องต้นคดีนี้ต้องพิจารณาที่ศาลมณฑลทหารบกที่ 14 หรือ ศาลทหาร ในจังหวัดชลบุรี

พลวัฒน์ เล่าถึงประวัติของตัวเองว่า เขาไม่ได้เป็นนักกิจกรรม ไม่เคยเคลื่อนไหวทางการเมืองมาก่อน แต่มีเพื่อนที่รู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมเป็นนักเคลื่อนไหวทำกิจกรรมร่วมกับศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย จากการติดตามสถานการณ์ทางการเมือง เห็นการจับกุมกลุ่มคนที่คัดค้านการรัฐประหารแล้วรู้สึกทนไม่ไหวจึงออกมาโปรยใบปลิว เหตุที่ทำไปเพราะรู้สึกว่า สิ่งที่เจ้าหน้าที่รัฐกระทำต่อนักศึกษาป่าเถื่อนเกินไป


แชร์ข่าวนี้