หน้าแรก การเมือง ออก 3 พ.ร.ก. ช่วยรายได้น้อย คนตกงาน

ออก 3 พ.ร.ก. ช่วยรายได้น้อย คนตกงาน

516
แชร์ข่าวนี้

“ตู่” ถก “สมคิด-อุตตม-วิรไท” เน้นมีเงินประทังปากท้อง

“บิ๊กตู่” เรียกทีมงาน 3 เกลอ “สมคิด-อุตตม-วิรไท” ถกรายละเอียดมาตรการเฟส 3 ก่อนเข้า ครม. 7 เม.ย. กำชับช่วยผู้มีรายได้น้อย-คนตกงาน ให้มีเงินประทังปากท้องพร้อมพยุงผู้ประกอบการ “เทพไท” แนะตัดให้เหี้ยนงบลงทุนทุกกระทรวง หยุดพัฒนาไป 1 ปีไม่ได้ล่าช้า ชงออก พ.ร.บ.โอนงบฯมาโปะเป็นงบกลางให้ “ลุงตู่” ใช้คล่องมือ ต้องแจกเงินเดือนให้ทุกคนที่เดือดร้อน “อดีตขุนคลัง” ห่วงคนรุ่นหลังตามใช้หนี้อ่วม แถมเงินเฟ้อสูง พท.ขอรัฐบาลประเมินเคอร์ฟิวตรงไปตรงมา “บิ๊กป้อม” คาดโทษ ส.ส.หลังยาว

หลังที่ประชุม ครม.นัดพิเศษเห็นชอบในหลักการมาตรการเยียวยาและดูแลระบบเศรษฐกิจระยะที่ 3 ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม เรียกนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง และนายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธปท. เข้าหารือเพื่อติดตามความคืบหน้าการทำรายละเอียด ก่อนนำเสนอเข้าที่ประชุม ครม. วันที่ 7 เม.ย.

“บิ๊กตู่” เรียกทีมสามเกลอถกงบโควิด

เมื่อเวลา 12.15 น. วันที่ 5 เม.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เรียกนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง และนายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้าหารือเพื่อติดตามความคืบหน้าการทำ รายละเอียดการวางมาตรการเยียวยาและดูแลระบบเศรษฐกิจระยะที่ 3 หลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นัดพิเศษเห็นชอบหลักการที่จะใช้วงเงินดำเนินการคิดเป็น 10 เปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (จีดีพี) เพื่อแก้ปัญหาการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยออก พ.ร.ก. 3 ฉบับ เป็นของ ธปท. 2 ฉบับ คือ พ.ร.ก.ให้อำนาจ ธปท. ปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) และ พ.ร.ก.ให้อำนาจ ธปท.เข้าไปซื้อตราสารหนี้เอกชนที่ครบกำหนด และของกระทรวงการคลัง 1 ฉบับ คือ พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน ที่จะต้องนำเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุม ครม.วันที่ 7 เม.ย.นี้

เน้นช่วยผู้มีรายได้น้อย–ตกงาน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์เน้นย้ำว่า พ.ร.ก.ที่จะเสนอเข้า ครม.วันที่ 7 เม.ย. ขอให้กระทรวงการคลัง และ ธปท. เร่งทำรายละเอียดครอบคลุมทุกมิติ ช่วยผู้มีรายได้น้อยที่ตกงานขาดรายได้ให้มีเงินประทังปากท้อง ลดภาระหนี้เกษตรกร สร้างงานในพื้นที่รองรับคนอพยพกลับบ้าน โดยยึดศาสตร์เศรษฐกิจพอเพียง ขณะเดียวกันต้องช่วยพยุงผู้ประกอบการให้เดินหน้าธุรกิจไม่หยุดจ้างงาน เป็นหลังพิงให้ภาคการเงินการธนาคารให้เศรษฐกิจขับเคลื่อน ต่อไปได้ ต่อมาเวลา 14.00 น. นายกฯเดินทางกลับออกจากทำเนียบรัฐบาล โดยไม่มีการออกแถลงการณ์ผ่านทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย (ทรท.) ตามที่มีกระแสข่าวตั้งแต่ช่วงเช้าว่าจะมีการประกาศมาตรการเพิ่มเติม เพื่อแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

“เทพไท” ชงตัดงบพัฒนาหนึ่งปี

ขณะที่นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า สถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 คงยืดเยื้อไปอีกไม่น้อยกว่า 6 เดือน ตรงกับสิ้นปีงบประมาณในเดือน ก.ย.2563 ในระยะ 6 เดือนนี้ ผู้ที่สามารถดำรงชีพอยู่ได้ในสถานการณ์เช่นนี้ มีเพียงอาชีพข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้น เพราะมีรายได้ประจำจากเงินเดือน ส่วนประชาชนทั่วไปต้องหยุดทำงาน ไม่มีรายได้ประจำ ส่วนใหญ่มีเพียงเงินเก็บเพื่อใช้จ่ายในการดำรงชีพคนละไม่เกิน 2 เดือนเท่านั้น ทำให้คนส่วนใหญ่อาจมีปัญหาในการดำรงชีวิตแน่นอน รัฐบาลต้องหามาตรการรองรับชีวิตคนไทยให้รอดก่อน แล้วค่อยพัฒนาประเทศ เราหยุดพัฒนาประเทศ 1 ปีไม่ได้ล่าช้าอะไร เพื่อเป็นการนำพาประเทศก้าวผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปให้ได้ รัฐบาลต้องปรับยุทธศาสตร์ในการต่อสู้กับไวรัสโควิด-19 และต้องปรับแผนการใช้งบประมาณปี 2563 ใหม่

ตั้งเป็นงบกลางดูแลคนไทยก่อน

นายเทพไทกล่าวต่อว่า ขอเสนอให้รัฐบาลปรับแนวทางบริหารงบประมาณ ดังนี้ 1.งบฯปี 63 เหลือระยะเวลาใช้แค่ 6 เดือน ต้องหยุดใช้งบประมาณด้านการลงทุน และการพัฒนาด้านวัตถุทั้งหมด มาเป็นลงทุนพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ 2.ควรออก พ.ร.บ.โอนงบประมาณด้านการลงทุน และการพัฒนาของทุกกระทรวง ทบวง กรม มาเป็นงบกลาง หรืองบฉุกเฉิน ให้นายกฯเป็นผู้มีอำนาจใช้งบประมาณนี้แต่เพียงผู้เดียว 3.จัดเพิ่มงบประมาณด้านการสาธารณสุข เพื่อสู้กับไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะจัดซื้อเครื่องมือ อุปกรณ์ทางการแพทย์ให้เพียงพอ สร้างโรงพยาบาลเฉพาะโรคโควิด-19

แจกเงินเดือนให้ทุกคนที่เดือดร้อน

นายเทพไทกล่าวอีกว่า 4.จัดสรรงบส่วนหนึ่งเป็นเงินเดือนให้กับประชาชนทั้งประเทศที่ลงทะเบียนเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทุกกลุ่มที่ไม่สามารถดำรงชีพอยู่ได้ ยกเว้นข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่รัฐ ที่มีเงินเดือนประจำ และคนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดีแล้ว แม้ที่ผ่านมามีหลายฝ่ายเสนอให้รัฐบาลเปลี่ยนแปลงงบในหลายแนวทาง เช่น ตัดงบซื้ออาวุธของกองทัพ, ตัดงบกระทรวงกลาโหมทั้งหมด, ตัดงบทุกกระทรวง 10 เปอร์เซ็นต์ หรือออก พ.ร.ก.กู้เงิน ยังเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตอบโจทย์ของประเทศ ขอเสนอให้รัฐบาลออกเป็น พ.ร.บ.โอนงบประมาณจากทุกกระทรวงมาเป็นงบกลางโดยเร็วที่สุด เชื่อว่าทุกฝ่ายพร้อมให้ความร่วมมือสนับสนุนแนวทางนี้

จี้นายกฯถอดบทเรียนสุวรรณภูมิ

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค ประชาธิปัตย์ กล่าวถึงความสับสนที่เกิดขึ้นที่สนามบินสุวรรณภูมิ ว่า นายกฯควรนำเหตุการณ์ดังกล่าวมาถอดบทเรียน เพื่อปรับปรุงแก้ไขไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำซ้อนอีก นอกเหนือจากการเข้าออกผ่านสนามบินแล้ว ยังมีการเข้าออกตามด่านชายแดนต่างๆ ที่ควรบริหารจัดการไม่ให้เกิดความสับสนวุ่นวายเหมือนที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพราะเมื่อเกิดความสับสนวุ่นวายต่อการปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรการของรัฐบาลในที่ใดก็ตาม จะส่งผลกระทบต่อการทำงานเพื่อป้องกันไวรัสโควิด-19 ตามมาด้วย ทั้งยังก่อให้เกิดความวิตกกังวลกับประชาชนทั่วไป และอาจส่งผลต่อความไม่เชื่อมั่นในมาตรการของภาครัฐ และกระทบต่อการ ทำงานแก้ไขปัญหาโควิด-19 โดยรวมตามมาด้วย ขอเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ไขให้มาตรการของภาครัฐเป็นระบบ และสามารถปฏิบัติการได้อย่างราบรื่นจะช่วยทำให้การแก้ไขปัญหาโควิด-19 ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

“สุชาติ” ห่วงคนรุ่นหลังตามใช้หนี้

วันเดียวกัน นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีต รมว.คลัง กล่าวว่า การตั้งกรอบวงเงินเพื่อแก้ปัญหาไวรัสโควิด-19 ถึง 1.68 ล้านล้านบาทของรัฐบาล การกู้เงินมหาศาลถึงร้อยละ 10 ของจีดีพี การกู้ขนาดนี้ ตลาดเงินไม่มีเงินเพียงพอ อาจต้องออกเป็นพันธบัตรรัฐบาลขายให้ธนาคารพาณิชย์ แล้วไปขายต่อให้ ธปท.เพื่อพิมพ์เงินเพิ่มขึ้น และส่งให้รัฐบาลนำไปใช้จ่าย คือรัฐบาลพิมพ์แบงก์จำนวนมากมาใช้จ่าย ปกติรัฐบาลจะกู้เงินปีละ 40,000-50,000 ล้านบาทเท่านั้น คราวนี้อาจต้องกู้เพิ่มขึ้นถึง 3,100 เปอร์เซ็นต์ รัฐบาลควรดูให้ดีว่าเงินที่นำมาใช้ให้เกิดการจ้างงานสร้างผลผลิตเพิ่มขึ้นถึง 10 เปอร์เซ็นต์หรือไม่ หากไม่ก่อให้เกิดการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจคนรุ่นหลังต้องตามใช้หนี้คืนมากมายอีกกี่ปี ต้องเพิ่มภาษีอีกหรือไม่ รัฐบาลต้องมีแผนการหาเงินใช้หนี้ด้วยไม่ใช่กู้เงินอย่างเดียว ถ้าพิมพ์แบงก์มาชดเชยรายได้แจกประชาชนอย่างเดียว และยังสั่งให้คนและบริษัทหยุดงาน จะเกิดเงินเฟ้อสูงมาก ข้าวของแพง ประชาชนจะเดือดร้อนยิ่งขึ้น ดูอย่างเวเนซุเอลา ซิมบับเว ทำจนเงินไม่มีค่าถูกโยนทิ้งตามข้างถนน

พท.เบรก ปตท.ขายหุ้นปั๊มกำไร

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย ประธานคณะกรรมาธิการกิจการศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และกองทุน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เชิญชวนประชาชนให้ซื้อหุ้นบริษัท ปตท.โออาร์ ทั้งที่ ปตท.และ ปตท.โออาร์ อยู่ระหว่างถูกตรวจสอบการดำเนินงานในรอบ 4 ปีที่ผ่านมาจาก กมธ. ขอเรียกร้องคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) พิจารณาชะลอการซื้อขายหุ้นของ ปตท.โออาร์ไว้ก่อน ในสถานการณ์โรคระบาดขณะนี้ ปตท.ควรช่วยเหลือสังคมด้วยการลดราคาน้ำมันหรือราคาก๊าซเอ็นจีวีให้มากกว่านี้ แต่ยังคิดแต่แสวงหากำไร ถึงขนาดต้องให้คนไปเข้าแถวซื้อแอลกอฮอล์จากปั๊ม ปตท.ที่มีราคาแพงมหาโหดถึง 110 บาทต่อลิตร แทนที่จะแจกให้ประชาชนฟรี เพื่อลดการแพร่ระบาด ควรยอมขาดทุนกำไรของตัวเองบ้าง

ขอประเมินเคอร์ฟิวตรงไปตรงมา

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า รัฐบาลต้องประเมินอย่างตรงไปตรงมาว่าหลังประกาศใช้เคอร์ฟิวแล้วได้ผลในการหยุดการระบาดของเชื้อโควิด-19 อย่างไร เชื่อว่าประชาชนพร้อมให้ความร่วมมือกับรัฐบาล แต่อยากให้รัฐบาลสื่อสารในลักษณะสร้างกระบวนการมีส่วนร่วม ไม่ใช่แถลงข่มขู่ประชาชนจะประกาศเคอร์ฟิว 24 ชั่วโมง ขณะนี้ทุกฝ่ายต้องร่วมแรงร่วมใจฝ่ามหาวิกฤติโควิด-19 ให้ได้ในระยะเวลาสั้นที่สุด และนอกจากการบังคับใช้เคอร์ฟิวแล้ว รัฐบาลต้องควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภคไม่ให้เกิดการกักตุน หรือปรับราคาสูงขึ้น เป็นภาระแก่ประชาชนอีก

“โกศล” บี้รัฐเร่งแก้ปากท้องด้วย

นายโกศล ปัทมะ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ จ.นครราชสีมา พบว่าหน้ากากอนามัยยังเป็นสิ่งที่ขาดแคลนอยู่ หมอและพยาบาลยังบ่นว่ารัฐบาลจัดสรรให้ไม่เพียงพอ อยากเรียกร้องว่ารัฐบาลต้องเร่งจัดสรรหน้ากากอนามัยให้บุคลากรทางการแพทย์ในต่างจังหวัดให้เพียงพอด้วย วันนี้ ส.ส.ในภาคอีสานของพรรคเพื่อไทยพากันระดม เงินเดือนตัวเอง 3 เดือน มาจัดซื้อสิ่งของจำเป็นทั้งหน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ล้างมือแจกจ่ายบุคลากรทางการแพทย์และประชาชน วันนี้ต้องช่วยกันทุกคน ไม่เช่นนั้นประเทศจะผ่านวิกฤติไม่ได้ อีกอย่างที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขคือผลกระทบด้านเศรษฐกิจ ประชาชนทำมาหากินลำบากต้องควักต้นทุนเก่ามากิน ถ้ารัฐบาลไม่เร่งแก้ปัญหาปากท้องควบคู่กับการแก้ปัญหาไวรัส ปล่อยไปแบบนี้ปัญหาที่จะตามมาคือปัญหาสังคม ปัญหาอาชญากรรม เพื่อตัดไฟแต่ต้นลมรัฐบาลต้องเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้ได้

โฆษก ปชป.หันมาฟัด “สมชัย”

อีกเรื่อง นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวตอบโต้นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. และอดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ที่ แสดงความเห็นเรื่องการส่งออกหน้ากากอนามัย ว่า ข้อมูลที่นายสมชัยระบุล้วนเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ตัวเลขการส่งออกควรถามข้อมูลจากกรมศุลกากรที่ยืนยันมาตลอดจากสถิติการส่งออกไม่ได้มีจำนวนมากตามที่นายสมชัยระบุ การตั้งประเด็นว่ามีข้อมูลรั่วไหลไปสู่เอกชนเป็นการตั้งใจเอื้อประโยชน์กันหรือไม่นั้น นายสมชัยอยู่ในวงราชการมาพอสมควร ควรทราบดีว่าเรื่องดังกล่าวต้องทำให้รัดกุมที่สุด การนำมาพูดสนุกปากทำให้สังคมสับสน ว่าใครเอื้อประโยชน์ใครได้ประโยชน์ ต้องพูดให้ชัด ไม่ใช่มาพูดลอยๆ หวังทำลายความน่าเชื่อถือกัน อยากบอกนายสมชัยว่าใครที่พูดจาให้เกิดความเสียหายได้ถูก บันทึกไว้แล้ว เรื่องนี้กำลังอยู่ในขั้นการตรวจสอบอยู่ หากวันหนึ่งความจริงปรากฏ ใครที่พูดอะไรไว้ต้องรับผิดชอบ ขอให้ประชาชนวางใจได้ว่านายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯและ รมว.พาณิชย์ และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยึดมั่นการทำงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ไม่เคยมีเรื่องทุจริตใดๆ

“บิ๊กป้อม” คาดโทษ ส.ส.หลังยาว

นายสุชาติ ชมกลิ่น ส.ส.ชลบุรี ประธาน ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ชื่นชม ส.ส.และสมาชิกพรรคทุกคนที่ลงพื้นที่ช่วยเหลือชาวบ้านต่อเนื่องเคร่งครัด เพื่อต่อสู้และป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 และจะฟังเสียงสะท้อนประชาชนในพื้นที่มี ส.ส.คนไหนลงไปช่วยเหลือประชาชนหรือไม่ เพราะจะมีผลต่อการพิจารณาให้ลงสมัคร ส.ส.ในนามพลังประชารัฐสมัยหน้า ขอให้ ส.ส.เสียสละเป็นที่พึ่งประชาชน มิใช่มุ่งเล่นแต่การเมืองอย่างคนอื่น การช่วยเหลือประชาชนต้อง คำนึงและไม่กระทำผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และมาตรการของรัฐบาลด้วย ขณะที่ ส.ส.หลายคนฝากให้กำลังใจนายกฯว่าพวกเราเชื่อมั่นในตัวผู้นำ จะอยู่เคียงข้างประชาชนต่อสู้ไวรัสโควิด-19 ต่อไปจนกว่าประเทศไทยจะชนะ


แชร์ข่าวนี้