หน้าแรก บันเทิง “แอน สิเรียม” ควง “นนนี่” ลูกสาวเคลียร์ดราม่าท้องก่อนแต่ง เผยเคยน้อยใจไม่สวยเท่าแม่

“แอน สิเรียม” ควง “นนนี่” ลูกสาวเคลียร์ดราม่าท้องก่อนแต่ง เผยเคยน้อยใจไม่สวยเท่าแม่

602
แชร์ข่าวนี้

นักแสดงสาวดาวค้างฟ้าสุดแซ่บ แอน สิเรียม ควงลูกสาวอย่าง น้องนนนี่ นนลนีย์ เปิดใจถึงประเด็นท้องก่อนแต่งหลังแต่งงานแบบสายฟ้าแล่บกับเจ้าบ่าวที่อายุห่างกันถึง 17 ปี ผ่านรายการคุยแซ่บ Show ทางช่อง One31 ที่มี พีเค ปิยะวัฒน์ และ เป็กกี้ ศรีธัญญา เป็นพิธีกร พร้อมเคลียร์ปมในใจในวัยเด็กกับการปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้อ้วนเหตุเพราะคำครหาที่ว่าไม่สวยเหมือนแม่ !

ตอนน้องเล็กๆพี่เหนื่อยมั้ยเพราะพี่เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ?

แอน : “คือตอนนั้นเราก็ละครเยอะ รับหมดเลย บางทีกลับไปบ้านเราก็อยากจะพัก แต่มันก็มีหน้าที่ความรับผิดชอบก็กลายเป็นเหมือนจู้จี้ขี้บ่น เด็กคงจะรู้สึกแบบนั้น”

คุณแม่ต้องทำงานหนักเลี้ยงลูกคนเดียวด้วยในทางกลับกันเรารู้สึกมั้ยว่าแม่ทำงานหนักเกินไป ?

นนนี่ : “ตอนเด็กๆ เราไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนได้อยู่กับแม่ ทุกคนได้อยู่กับพ่อ บางที่เราได้เจอแค่ตอนเช้าตอนเย็นก็ไม่ได้เจอแล้ว ไม่ได้มารับที่โรงเรียน” 

พี่แอนรู้มั้ยว่าตอนเด็กเขารู้สึกแบบนี้ ?

แอน : “ก็เพิ่งรู้วันนี้แหละค่ะ”

นนนี่ : “แต่โตมาก็เข้าใจแล้ว รู้สึกโชคดี”

 ช่วงหนึ่งชีวิตในวัยเด็กเห็นว่าไม่ชอบสื่อมวลชนเลย ไม่ชอบวงการบันเทิง เพราะแย่งความรักจากแม่ไป ?

นนนี่ : “ก็ไม่ใช่แย่งความรักขนาดนั้นแต่เราแค่รู้สึกว่าทำไมทุกคนได้เจอแม่แล้วเราได้เจอแม่น้อย เหมือนอารมณ์งอนๆ มากกว่า”

แล้วพี่แอนร็มั้ยว่าสมัยก่อนลูกแอบน้อยใจสื่อ น้อยใจทุกอย่างที่สัมพันธ์กับชีวิตเรา ?

แอน : “คือเรารู้สึกว่าน่าจะเป็นแบบนี้แต่เขาก็ปากแข็ง” 

ทำไมไม่บอกคุณแม่ไปตรงๆว่าอยากให้คุณแม่อยู่ด้วย ?

นนนี่ : “ก็เขาดูมีความสุขเวลาเขาทำงาน เราก็ได้เห็นจากในทีวี” 

มีช่วงนึงที่เขาเรียนแล้วก็จู่ๆ เขาก็ไปเรียนเมืองนอกเลยทันทีพี่แอนรู้สึกเคว้งมั้ย ?

แอน : “จริงๆ เราเป็นคนเป็นคนอยากให้เค้าไปเรียนเอง เวลาเราเห็นคนได้เปิดโลกทัศน์ เห็นโลกกว้างมันเป็นยังไง เราถ่ายแต่ละครอย่างเดียวชีวิตเราอยู่แต่กับกองถ่าย เราไม่ได้เปิดโลกทัศน์เท่าไหร่”

แล้วเขาไปจริงๆ พี่แอนเหงามั้ย ?

แอน : “มันก็หวิวเหมือนกันมันมีความรู้สึกว่ามีอะไรที่เราต้องห่วงแล้วพอเราไม่เห็นมันก็คนละภาพกับที่เราเห็น” 

นนนี่ตอนนั้นไปเมืองนอก ไปกี่ขวบ แล้วไปที่ไหน ?

นนนี่ : “เคยไปอยู่นิวซีแลนด์ประมาณ 13-14 แล้วไม่ชอบ เลยเปลี่ยนไปอยู่อังกฤษ”

แสดงว่าวันนึงแม่เดินมาบอกนนนี่ว่า “นนนี่ไปเรียนเมืองนอกเถอะ” ?

นนนี่ : “คือคุยกันดีๆ แบบว่าเดินเข้ามาปรีกษากันมากกว่าว่าอยากไปเรียนเมืองนอกมั้ย”

แล้วเราบอกว่า ?

นนนี่ : “ยังไงก็ได้”

แล้วไม่คิดถึงแม่เหรอ ?

นนนี่ : “เหมือนอารมณ์งอน เพราะอยู่บ้านก็ไม่ได้เจอกันอยู่แล้ว”

พอไปแล้วคิดถึงคุณแม่มั้ย ?

นนนี่ : “ก็คิดถึง แต่ไม่โทรหานะ งอน เมื่อไหร่แม่จะโทรหา”

แอน : “ช่วงว่างเวลาคนละเวลา”

นนนี่ : “พอเราไปเรียนก็จะเป็นรูทีนแล้ว ตื่น กินข้าว ไปเรียน เลิกเรียน ที่เมืองไทยก็ตีสามแล้ว ก็เลยไม่ค่อยได้คุย”

แล้วตอนย้ายไปอยู่อังกฤษเป็นยังไง ?

แอน : “อังกฤษมันชิลกว่าเพราะพี่สาว น้องสาวก็อยู่นั่นคือถ้ามีเรื่องอะไรก็ติดต่อได้หมด”

นนนี่ : “ตอนไปอยู่เป็นโรงเรียนประจำ ทุกคนจะโดนรูทีนเหมือนกันหมด ตื่นเวลานี้ กินข้าวเวลานี้ ทำเหมือนกันหมดก็เลยรับได้มากกว่า”

ช่วงที่ไปอยู่นิวซีแลนด์ที่อยากกลับเพราะไม่มีคนคอยทำอะไรให้หรือเปล่า พี่เลี้ยงก็ไม่มี ?

นนนี่ : “นิวซีแลนด์ไม่เท่าไหร่เพราะบางทรีโฮสต์เค้าจะเป็นคนคอยจัดการซักผ้าให้เรา ทำความสะอาดบ้านให้ ตอนอยู่อังกฤษต้องเริ่มทำอะไรเอง จะเหมือนฝึกระเบียบเพราะเป็นโรงเรียนประจำ ช่วงเหลือตัวเองทั้งหมดประมาณ 70-80 %”

ตอนนั้นคือมีปัญหาไม่อยากอยู่แล้ว ?

นนนี่ : “ก็มีงอแงบ้างเพราะอยู่เมืองไทยเรามีพี่เลี้ยงตลอด”

พี่แอนคิดว่าเราเลี้ยงลูกสปอยล์มั้ย ?

แอน : “ของพี่พี่ไม่รู้ แต่แม่พี่ก็เลี้ยงพี่แบบนี้ เค้าก็ฝึกก็ตี แต่สิ่งหนึ่งที่พี่ไม่เคยทำกับเขาก็คือการตีก็จะใช้วิธีการพูดการอธิบายก็เลยดูเป็นจู้จี้ขี้บ่น แต่ตอนเด็กๆแอนโดนตีฟาดกระหน่ำ”

ไปอยู่ที่อังกฤษเขาจ่ายค่าเทอมให้แต่การใช้จ่ายส่วนตัวต่างๆ เห็นบอกว่าต้องทำงานด้วย ?

นนนี่ : “ช่วงเรียนปริญญาก็จะมีเวลาที่สามารถออกไปทำงานข้างนอกได้ตามชั่วโมงของเขา ก็ไปทำงานเสิร์ฟ รีเซฟชั่น ถ้าช่วงเปิดเทอมก็จะทำ 4 วัน ถ้าปิดเทอมก็จะทำเต็ม 5 วัน 5 คืน”

ช่วงหลังๆ พี่ก็ไปใช้ชีวิตที่อังกฤษบ่อย ?

แอน : “ใช่ พี่อยู่คนละโซนกับเค้า พี่อยู่เชลซี”

ทำไมไม่อยู่ด้วยกัน ?

นนนี่ : “เขาไม่ให้หนูอยู่ด้วยไง เขาบอกว่าโตแล้วไปอยู่เองไป จริงๆ แล้วไม่หรอกเพราะบางทีเรากลับบ้านเขาหลับแล้ว ระบบน้ำอะไรก็เสียงดัง ประตูก็เสียงดัง” 

แล้วเราอยากอยู่กับแม่มั้ย ?

นนนี่ : “ไม่อยากค่ะ โตแล้วไม่อยากอยู่กับแม่”

เห็นว่าคุณแม่รู้ข่าวเรื่องการขอแต่งงานผ่านไอจี ?

นนนี่ : “ใช่ คือตอนเขาขอเราแต่งงานเราก็คงไม่ได้โทรบอกแม่ว่าเขาขอแต่งงาน เราก็โพสต์รูปไปแล้วก็หลับ นางก็มีมิสคอลประมาณ 30 สาย”

ประโยคแรกที่ลูกรับโทรศัพท์คุยอะไรกับลูก ?

แอน : “ตามนั้นเลยหรอ คุยกับลูกไม่ได้คุยเป็นภาษาแม่มาก”

นนนี่ : “อืม ตามนั้นแหละ”

แอน : “พอเขามาบอกว่าจะแต่งงาน ถ้าจะแต่งงานก็ควรที่จะบอกทุกคนนะ เราก็มีบทเรียนว่าจะทำอะไรก็ต้องบอกแจ้งให้ถูกต้อง ถ้าเราส่วนตัวมากๆ ก็อาจจะทำให้คนสงสัย ก็คิดไปต่างๆ”

ระยะเวลาปุ๊ปปั๊ปแล้วประกาศแต่งเลย ?

แอน : “ใช่ คนก็จะหาว่าลูกท้องเหรอ”

นนนี่ : “อันนี้คือเศร้ามากเลยนะ คืออยากจะบอกทุกคนว่าเราไม่ได้ท้องนะแต่เราอ้วน พูดอะไรก็ไม่ได้เพราะเราไม่ได้เปิดโซเชียลมีเดีย” 

เราเตรียมงานแต่งมานานขนาดไหน ?

นนนี่ : “เขาก็เคยคุยกับเราว่าเขาอายุมากแล้วนะ เขาอยากแต่งงาน สำหรับเราก็ยังว่าเร็ว คุยกับแม่ก็บอกว่าเร็วไป เราก็บอกว่าแม่ก็แต่งงานตอนอายุเท่านี้ไม่ใช่เหรอ”

ลูกเราอายุห่างจากแฟน 17 ปี พี่แอนรู้สึกว่ามันจะเป็นปัญหาอะไรมั้ย ?

แอน : “คือแอนก็มีความสมัยใหม่แต่ก็มีความหัวโบราณอยู่ด้วย แต่แอนก็พยายามทำให้ดีที่สุดทั้งสองฝ่ายก็มองว่าชีวิตต้องดำเนินต่อไป ช่องทางเดินของชีวิตมันอาจจะมีถูกบ้าง ผิดบ้าง คละเคล้ากันไป เราก็เป็นแม่ลูกกันต้องดูแลซึ่งกันและกันตลอดไป เพราะว่าความเป็นแม่ลูกก็ต้องอยู่กันไปจนวันตาย”

ถ้าย้อนเวลาได้พี่อยากจะมีลูกตอนเป็นวัยรุ่นหรือตอนอายุมากแล้ว ?

แอน : “แอนเป็นคนโตตั้งแต่เด็ก มีหน้าที่ความรับผิดชอบตั้งแต่เด็ก แอนจะขาดช่วงชีวิตวัยรุ่นไป แอนเรียนจบแล้วก็มีแฟนเลยเหมือนกันแล้วก็ทำงานเลย รูทีนชีวิตเป็นแบบนี้ไปเลย มันก็จะแตกต่างกัน พอมีช่วงหยุดอยู่ต่างประเทศเราได้ไปเที่ยวโน่นนี่ได้เห็นโน่นนี่มันมีอะไรน่าตื่นเต้นมากมาย”

วันที่เจอหน้าคุณลูกเขยครั้งแรกที่เขาพามาแนะนำเป็นยังไง ?

แอน : “จริงๆ เขาก็เป็นเด็กไทยที่มีมารยาท เขาก็มากราบขอขมาเรา เขาก็จะพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ผมก็จะดูแลน้องให้เต็มที่ ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้” 

ในมุมมองของคุณแม่ลูกเรากับพอล (ลูกเขย) อนาคตไปด้วยกันสำเร็จมั้ย ?

แอน : “เราก็ตอบไม่ได้อันนี้มันต้องอยู่ที่เขาจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จยังไงเราก็พร้อมที่จะดูแลทั้งสองฝ่าย”

แล้วนนนี่อายุห่างกันมีปัญหาอะไรมั้ย ?

นนนี่ : “มีนะคะเป้นเรื่องปกติ เอาจริงๆ เราก็ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง เราทำตอนนี้ให้ดีที่สุด จะได้หรือไม่ได้ยังไงเป็นเรื่องของอนาคตมากกว่า”

 ตอนนั้นที่เรากินเยอะเพราะเราได้ยินคอมเม้นท์ว่าเราสวยไม่เท่าแม่รึเปล่า ?

นนนี่ : “จริงๆ อันนี้คือเห็นมาตั้งแต่เด็กแล้วจะโดนคอมเม้นท์ตลอดเวลาว่าลูกไม่สวยเลย ดั้งก็ไม่มี แม่สวยกว่าตั้งเยอะมันมีการเปรียบเทียบตั้งแต่เด็กมากแล้ว โตขึ้นมาก็เฉยๆไม่ได้คิดว่าจะสวยเท่าแม่ก็กินไปเลยแล้วกัน อยากกินอะไรก็กิน ไม่มีความจำเป็นต้องควบคุมน้ำหนัก”

แอน : “บางทีมันก็เฮิร์ทจิตใจเราที่ได้ยิน คนที่พูดส่วนมากก็เป็นผู้ใหญ่ ทำไมลูกสาวไม่สวยเหมือนแม่เลย”

เรากดดันมั้ย ?

นนนี่ : “เราไม่กดดันเราโกรธ เราโกรธว่าทำไมเราไม่ได้จมูกแบบนี้บ้าง แต่ไม่กดดันอะไรเลย”

ตอนนี้แต่งงานแล้วจะมีลูกมั้ย ?

นนนี่ : “หนูยังไม่อยากมีตอนนี้ จริงๆ เราตั้งใจทำงานเก็บเงินแล้วไปเที่ยว”

หลังจากโควิดจะกลับไปใช้ชีวิตที่อังกฤษมั้ยหรือมาอยู่เมืองไทย ?

นนนี่ : “แล้วแต่แม่ เพราะเอาจริงๆตัวเองยังไม่รู้เลยว่าสถานการณ์จะเป็นยังไงต่อ พอเราได้กลับมาอยู่ยาวมาใช้ชีวิตอยู่กับแม่กับยายกลายเป็นว่าเราก็ชอบนะ”

แม่อยากให้ลูกสาวกลับมาอยู่เมืองไทยมั้ย ?

แอน : “อยู่ที่ไหนก็ไม่สุขใจเท่าบ้านเรา ประเทศไทยนี่คือที่สุดของความสุขแล้ว อยู่เมืองนอกตื่นเต้นแต่ความสุขก็ไม่เหมือนประเทศไทย”

ทำไมน้องนนนี่เป็นคนที่พิเศษและวิเศษที่สุดในโลกนี้ ?

แอน : “เราก็มีลูกคนเดียวจะอะไรก็แล้วแต่ลูกเราเราก็รักที่สุดมันเป็นเหมือนแก้วตาดวงใจ เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเรา คุณแม่ทุกคนก็ต้องรักลูก หวงด้วย ห่วงด้วย แม่ทุกคนก็เป็นเหมือนกัน แต่แอนก็จะเคารพการตัดสินใจทุกสิ่งทุกอย่าง”

รักเขามากขนาดไหน ?

แอน : “รักที่สุดมีอยู่คนเดียว” 

นนนี่ล่ะเห็นบอกว่าปากแข็ง ?

นนนี่ : “เราก็ปากแข็งแต่ทุกคนก็รู้ว่าเราก็รักแม่มาก อยากให้แม่มีความสุข อยากให้เขาสบาย”

บอกความในใจกับแม่หน่อย ?

นนนี่ : “หนูรักแม่ที่สุดในโลก หนูจะเป็นเด็กดีของแม่ตลอดไป อยากจะให้แม่มีความสุขมากๆ อะไรที่ทำให้แม่ไม่สบายใจแล้วก็เคยทำร้ายจิตใจแม่ หนูขอโทษค่ะ”

ติดตามชมรายการคุยแซ่บ Show ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา13.45-14.45 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama

ขอขอบคุณ

ข้อมูล : annsirium

cr. sanook


แชร์ข่าวนี้