จากงานเสวนา “สู่โอกาสใหม่ Stronger Thailand” นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. ปาฐกถาพิเศษ “สู่โอกาสใหม่ Stronger Thailand” ว่า ประเทศไทยยังคงต้องเผชิญกับวิกฤตที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และโลกจะยิ่งมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น มีการแบ่งขั้วเลือกข้างที่ชัดเจนขึ้น
โดยประเทศไทยจะต้องวางตัวให้อยู่ในจุดที่ไม่สร้างความขัดแย้งกับขั้วใดขั้วหนึ่ง เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่เล็กเกินไปที่จะเลือกข้างได้ การเจอวิกฤตทั้งโควิด-19 สถานการณ์ราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นและเงินเฟ้อจากราคาสินค้าที่แพงขึ้น
รัฐบาลพยายามที่จะเดินหน้าในการแก้ไขปัญหาและเยียวยาทุกฝ่ายให้ดีที่สุดทำให้มั่นใจว่าในปีนี้ GDP ของประเทศจะยังสามารถเติบโตได้ร้อยละ 3 โดยการส่งออกจะยังคงเป็นเครื่องยนต์ที่สำคัญ แต่ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ภาคบริการการท่องเที่ยว
หลังจากเปิดประเทศจะมีส่วนสนับสนุน และในปีนี้เชื่อว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวอยู่ที่ 8-10 ล้านคน สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศทดแทนความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากวิกฤตอื่นๆ ได้บางส่วน โดยในปีหน้ามองว่า GDP จะยังเติบโตได้ร้อยละ 3.7 เป็นคาดการณ์ GDP ที่ไม่สูงเนื่องจากยังคงมีวิกฤตที่ต้องรับมืออย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะวิกฤตที่เกิดขึ้นจากสงคราม
ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรม หรือ ส.อ.ท. บรรยายพิเศษ “ยุทธศาสตร์ใหม่ เพื่อโอกาสใหม่” ว่า ประเทศไทยต้องเผชิญกับวิกฤตรอบด้าน การปรับตัวและปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมใหม่จึงเป็นเรื่องที่จำเป็น
โดยทางภาคเอกชนพร้อมที่จะเดินหน้า อุตสาหกรรมแห่งอนาคตและเศรษฐกิจ BCG ซึ่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย และเศรษฐกิจโลกหลังจากนี้ และอุตสาหกรรมดิจิทัล
การใช้นวัตกรรมในเพิ่มมูลค่าจะเป็นเรื่องที่จำเป็น และใช้เป็นแต้มต่อในการแข่งขันของอุตสาหกรรมต่างๆ ในอนาคต และจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน มองว่าในช่วงสิ้นปีนี้ปัญหาขาดแคลนอาหารของโลกจะชัดเจนขึ้นโดยเฉพาะกับประเทศยากจน
เนื่องจากยูเครนเป็นประเทศอู่ข้าวอู่น้ำที่ผลิตส่งให้กับสหภาพยุโรป หากสงครามยังไม่จบก็จะยิ่งเป็นปัญหามากยิ่งขึ้น
ขอขอบคุณ
แหล่งที่มา : INNnews
